ในยุคที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นอันสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือพายุ การมีความรู้และทักษะในการสังเกตธรรมชาติรอบตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับชุมชนในพื้นที่เสี่ยงหรืออยู่ใกล้ธรรมชาติ การสังเกตธรรมชาติไม่ใช่แค่กิจกรรมเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น แต่ยังเป็น “สัญญาณเตือนภัย” ที่สามารถช่วยชีวิตคนได้อย่างแท้จริง (UNESCO Bangkok, 2014)
1. ธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนเสมอ
ก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น ธรรมชาติมักส่งสัญญาณบางอย่างออกมา เช่น
-
พฤติกรรมสัตว์เปลี่ยนแปลง: ในหลายพื้นที่พบว่า สัตว์ป่าเช่น นก ช้าง หรืองู จะหนีออกจากพื้นที่ก่อนแผ่นดินไหวเกิดขึ้น เช่น กรณีสึนามิในปี พ.ศ. 2547 มีรายงานว่าสัตว์หลายชนิดหนีขึ้นที่สูงก่อนคลื่นจะเข้าชายฝั่ง (Ikeda et al., 2003)
-
เสียงของธรรมชาติที่ผิดปกติ: เสียงคลื่นทะเลเงียบลงผิดปกติ เสียงนกร้องมากกว่าปกติ หรือเสียงลมเปลี่ยนทิศ (Yokoyama, 2001)
-
การเปลี่ยนแปลงของพืชและสิ่งแวดล้อม: กลิ่นของดินหลังฝนตก อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง น้ำทะเลลดลงผิดธรรมชาติ ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า
2. ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการเฝ้าระวังภัย
หลายชุมชนใช้ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ในการสังเกตและรับมือกับภัยพิบัติ เช่น
-
ชาวเล ในแถบอันดามันที่มีความเชื่อเกี่ยวกับ “น้ำทะเลหนี” ก่อนเกิดสึนามิ
-
ชาวนา ที่เฝ้าดูการผลิใบของพืชหรือการเคลื่อนไหวของสัตว์ก่อนพายุเข้าหรือก่อนฝนตก
-
กลุ่มชาติพันธุ์บนดอยสูง ที่สังเกตแนวหมอก ทิศลม และการเปลี่ยนสีของท้องฟ้าเพื่อทำนายอากาศ
กรณีศึกษาจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร (2562) พบว่าชุมชนชาติพันธุ์ในภาคเหนือของไทย เช่น ปกาเกอะญอ ใช้เสียงน้ำในลำธาร ความเงียบของป่า และพฤติกรรมของสัตว์ป่าในการเตือนภัยน้ำป่าไหลหลาก
3. ฝึกฝนการสังเกตเป็นทักษะชีวิต
การสังเกตธรรมชาติเพื่อเตรียมรับมือภัยพิบัติไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในวันเดียว แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
วิธีฝึกฝนเช่น:
-
เดินสำรวจพื้นที่ธรรมชาติรอบตัวทุกวัน
-
จดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของดิน ฟ้า อากาศ และพฤติกรรมสัตว์
-
สังเกตเสียงและกลิ่นรอบตัว
-
สอบถามหรือเรียนรู้จากผู้สูงอายุในชุมชน
ตามรายงานของ ADPC (2015) การสร้างทักษะในการสังเกตธรรมชาติควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนการศึกษาและการเตรียมพร้อมภัยพิบัติในชุมชน
4. บทบาทของโรงเรียนและเยาวชน
โรงเรียนสามารถปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเข้าใจคุณค่าของการสังเกตธรรมชาติ ผ่านกิจกรรม
-
การเดินป่าและบันทึกธรรมชาติ
-
การเรียนรู้สัญญาณธรรมชาติในวิชาวิทยาศาสตร์
-
โครงการเฝ้าระวังภัยพิบัติในโรงเรียน
UNICEF (2017) แนะนำให้มีการบูรณาการเรื่องความปลอดภัยจากภัยพิบัติและทักษะการสังเกตในกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อสร้างการรับรู้และเตรียมพร้อมในเด็กตั้งแต่วัยเรียน
5. บูรณาการกับเทคโนโลยี
แม้การสังเกตธรรมชาติจะเป็นทักษะสำคัญ แต่หากผสานเข้ากับเทคโนโลยี เช่น
-
การใช้แอปพยากรณ์อากาศ
-
ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า
-
กล้องดักจับภาพสัตว์ (Camera Trap)
จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเตรียมตัวและรับมือภัยพิบัติได้มากยิ่งขึ้น
รายงานจาก World Bank & GFDRR (2017) ชี้ให้เห็นว่าการผสมผสานเทคโนโลยีกับภูมิปัญญาท้องถิ่นจะช่วยให้การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ธรรมชาติคือครูที่ดีที่สุด
การสังเกตธรรมชาติไม่เพียงช่วยให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น แต่ยังช่วยให้เรา “อยู่กับธรรมชาติอย่างรู้เท่าทัน” และปลอดภัยมากขึ้นในวันที่ภัยพิบัติเข้ามาเยือน หากเราฝึกฝนให้ดี สัญญาณเล็กๆ จากธรรมชาติอาจกลายเป็นเสียงเตือนที่ช่วยชีวิตเราและคนรอบข้างไว้ได้ทันเวลา
อ้างอิง
-
Ikeda, Y., et al. (2003). Unusual animal behavior preceding the 1995 Kobe earthquake in Japan.
-
Yokoyama, K. (2001). The role of unusual animal behavior in earthquake prediction. Seismological Research Letters, 72(3), 293–294.
-
UNESCO Bangkok. (2014). Indigenous Knowledge and Disaster Risk Reduction in Asia-Pacific. Bangkok: UNESCO.
-
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (2562). การจัดการภัยพิบัติด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือของประเทศไทย.
-
ADPC. (2015). School Safety and Disaster Risk Reduction in Thailand.
-
UNICEF Thailand & Ministry of Education. (2017). Safe School Toolkit.
-
World Bank & GFDRR. (2017). Bringing the Power of Nature to Disaster Risk Reduction.