การเรียนรู้นอกห้องเรียน (Outdoor Learning) เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สัมผัสประสบการณ์จริง ออกจากสภาพแวดล้อมที่จำกัดในห้องเรียนปกติ โดยพาผู้เรียนไปยังสถานที่ทางธรรมชาติหรือสถานที่ที่มีความเชื่อมโยงกับเนื้อหาวิชาที่ศึกษา เช่น พิพิธภัณฑ์ อุทยานแห่งชาติ หรือแหล่งประวัติศาสตร์ การเรียนรู้รูปแบบนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด เนื่องจากมีการค้นพบว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าซึ่งไม่สามารถหาได้จากในห้องเรียนปกติ

ประโยชน์ของการเรียนรู้นอกห้องเรียนมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและจดจำได้ในระยะยาว การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ รวมถึงการเสริมสร้างสุขภาพจิตและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและผู้เรียน การเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีกับประสบการณ์ในชีวิตจริงได้ ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

บทความนี้จะกล่าวถึงประโยชน์ต่าง ๆ ของการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยเน้นการอ้างอิงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนความสำคัญของการเรียนรู้นอกห้องเรียนในมิติต่าง ๆ  เพื่อให้เป็นแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบททางการศึกษาและการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกระดับ

การพัฒนาทักษะด้านอารมณ์และสังคม
การเรียนรู้นอกห้องเรียนไม่เพียงแค่เพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างทักษะทางด้านอารมณ์และสังคมของผู้เรียนอีกด้วย จากการวิจัยของ Malone (2008) ระบุว่าผู้เรียนที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับสภาพแวดล้อมนอกห้องเรียน เช่น การเดินป่าและได้ทำงานร่วมกันในทีม จะมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริงและการร่วมมือกันแก้ปัญหาภายใต้สภาวะที่ท้าทาย

การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง
การศึกษาโดย Nicol, Higgins, Ross, และ Mannion (2007) แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดลองทำและสำรวจด้วยตนเองในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากห้องเรียน นอกจากนี้การเรียนรู้นอกห้องเรียนยังช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถในการตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ และเรียนรู้จากการทำผิดพลาด ซึ่งเป็นทักษะสำคัญหนึ่งในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การสร้างทัศนคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
การเรียนรู้นอกห้องเรียนสามารถเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี งานวิจัยของ Ernst และ Theimer (2011) พบว่าผู้เรียนที่ได้มีโอกาสศึกษาในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจริงมีความตระหนักรู้และใส่ใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้เรียนที่ได้รับประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับธรรมชาติจะมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตนในทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันได้ดีกว่า

การเพิ่มสมาธิและความสามารถในการเรียนรู้
งานวิจัยของ Li และ Bell (2018) แสดงให้เห็นว่าการพาผู้เรียนออกไปสู่ธรรมชาติช่วยเพิ่มสมาธิและความสามารถในการจดจำข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาด้านสมาธิ การเรียนรู้นอกห้องเรียนในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบช่วยให้ผู้เรียนมีสมาธิในการรับฟังและการสำรวจธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น

การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้เรียน
การเรียนรู้นอกห้องเรียนสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและผู้เรียนได้ งานวิจัยของ Dyment และ O’Connell (2013) พบว่า การทำกิจกรรมนอกห้องเรียนช่วยให้ครูและผู้เรียนสามารถสร้างความผูกพันและความเข้าใจต่อกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อบรรยากาศการเรียนรู้และทำให้ผู้เรียนรู้สึกมั่นใจในการเรียนรู้มากขึ้น

การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงจินตนาการ
การเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนโดยการให้พวกเขาได้มีโอกาสเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ และประสบการณ์ตรง งานวิจัยของ Waller (2007) แสดงให้เห็นว่าการพาผู้เรียนออกไปเรียนรู้นอกสถานที่ช่วยส่งเสริมการคิดเชิงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและการสำรวจสิ่งแวดล้อมจริง ผู้เรียนสามารถใช้ประสบการณ์ที่ได้มาประยุกต์ใช้กับการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาในอนาคต

การพัฒนาทักษะทางภาษาและการสื่อสาร
การเรียนรู้นอกห้องเรียนไม่เพียงแค่ส่งเสริมทักษะทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมทักษะการสื่อสารและการใช้ภาษาได้เป็นอย่างดี งานวิจัยของ Maynard และ Waters (2007) ชี้ให้เห็นว่าการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปิดกว้างช่วยให้พวกเขามีโอกาสใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้อื่นอย่างเป็นธรรมชาติ การมีปฏิสัมพันธ์ในบริบทใหม่ ๆ นอกห้องเรียน เช่น การถามตอบกับครู การเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็น ช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
งานวิจัยของ Chawla (2009) ระบุว่าการที่เด็กได้เรียนรู้ในธรรมชาติตั้งแต่วัยเยาว์มีผลดีต่อการพัฒนาความรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติในระยะยาว เด็กที่มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติผ่านการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะมีความรู้สึกห่วงใยและต้องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่าเด็กที่ไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติ การเรียนรู้นอกห้องเรียนในธรรมชาติจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างทัศนคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เยาว์วัย

การส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการระหว่างวิชาการ
งานวิจัยของ Lieberman และ Hoody (1998) พบว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยส่งเสริมการบูรณาการเนื้อหาจากหลายวิชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การศึกษาภาคสนามในสถานที่ทางประวัติศาสตร์สามารถเชื่อมโยงความรู้ด้านประวัติศาสตร์ สังคมศึกษา และวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนได้มีโอกาสเห็นภาพรวมของเนื้อหาจากหลาย ๆ วิชา และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในสภาพแวดล้อมจริงได้

การลดอาการสมาธิสั้นในเด็ก
การวิจัยของ Taylor และ Kuo (2009) แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนในธรรมชาติช่วยลดอาการสมาธิสั้น (ADHD) ในเด็ก โดยการที่เด็กได้สัมผัสกับธรรมชาติและมีโอกาสวิ่งเล่นในพื้นที่ที่เปิดโล่งช่วยให้พวกเขามีสมาธิและความสามารถในการจดจ่อมากขึ้น การใช้ธรรมชาติเป็นพื้นที่การเรียนรู้จึงเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กที่มีปัญหาด้านสมาธิ

งานวิจัยเหล่านี้สนับสนุนถึงความสำคัญและประโยชน์ของการเรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะทางสังคม การสร้างทัศนคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เรียนและครู รวมถึงการพัฒนาสุขภาพจิตและความสามารถในการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การบูรณาการเนื้อหา และการปรับปรุงความสามารถในการจดจ่อของผู้เรียน ซึ่งนับได้ว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นประโยชน์อย่างมากที่มีส่วนเติมเต็มการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนได้เป็นอย่างดี


อ้างอิง

  1. Malone, K. (2008). Every experience matters: An evidence-based research report on the role of learning outside the classroom for children’s whole development from birth to eighteen years. FSC Slough: National Trust.
  2. Nicol, R., Higgins, P., Ross, H., & Mannion, G. (2007). Outdoor education: Research summary. Education Scotland. https://www.educationscotland.gov.uk/Images/OutdoorEducationSummary_tcm4-540939.pdf
  3. Ernst, J., & Theimer, S. (2011). Evaluating the effects of environmental education programming on connectedness to nature. Environmental Education Research, 17(5), 577-598. https://doi.org/10.1080/13504622.2011.565119
  4. Li, Q., & Bell, S. (2018). The effects of forest therapy on mental health: A systematic review. Environmental Health and Preventive Medicine, 23(1), 12-22. https://doi.org/10.1186/s12199-017-0704-4
  5. Dyment, J. E., & O’Connell, T. S. (2013). The impact of outdoor education experiences on personal and social development of adolescent boys. Journal of Adventure Education & Outdoor Learning, 13(3), 177-192. https://doi.org/10.1080/14729679.2012.738011
  6. Waller, T. (2007). The trampoline tree and the swamp monster with 18 heads: Outdoor play in the foundation stage and foundation phase. Education 3-13, 35(4), 393-407. https://doi.org/10.1080/03004270701602431
  7. Maynard, T., & Waters, J. (2007). Learning in the outdoor environment: A missed opportunity? Early Years, 27(3), 275-287. https://doi.org/10.1080/09575140701594400
  8. Chawla, L. (2009). Growing up green: Becoming an agent of care for the natural world. The Journal of Developmental Processes, 4(1), 6-23.
  9. Lieberman, G. A., & Hoody, L. L. (1998). Closing the achievement gap: Using the environment as an integrating context for learning. State Education and Environment Roundtable.
  10. Taylor, A. F., & Kuo, F. E. (2009). Children with attention deficits concentrate better after a walk in the park. Journal of Attention Disorders, 12(5), 402-409. https://doi.org/10.1177/1087054708323000