เมื่อการอยู่แต่หน้าจอกลายเป็นภัยเงียบจนทำให้ลูกรักของคุณต้องกลายเป็นคนหมกมุ่นกับตนเอง และแถมในระยะยาวยังส่งผลทำให้ความคิดสร้างสรรค์หดหาย รวมถึง การเป็นโรคสมาธิสั้น บางคนถึงกับเป็นภาวะซึมเศร้าหรือไม่สามารถควบคุมตนเอง มีปัญหาต่อการเข้าสังคมได้ในอนาคต
การปล่อยให้ลูกรักของเราอยู่กับหน้าจอนานเกินไปเปรียบเสมือนเป็นกำแพงกั้นให้เด็กๆไม่ได้มีโอกาสออกไปเล่นข้างนอก ไม่ได้สัมผัสกับต้นไม้ ใบหญ้า ลำธารหรือสวนสาธารณะ จนส่งผลกระทบให้กับการใช้ชีวิต อารมณ์และจิตใจ จนเกิดพฤติกรรมผิดปกติดังที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้น นักเขียนชาวอเมริกันนามว่า Richard Louv ผู้เขียนหนังสือ The Nature Principle และ Last Child in the Woods ให้นิยามสิ่งนี้ว่า โรคขาดธรรมชาติ (Nature Deficit Disorder (NDD))
การพัฒนาการของคุณลูกอันเป็นที่รักของคุณจำเป็นต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่พร้อมให้เด็กได้มีอิสระในการเล่น
เช่น พื้นที่โล่ง บ่อทราย สนามเด็กเล่น ให้ได้มีโอกาสได้เคลื่อนไหวได้ดั่งใจ และที่สำคัญ คือ การมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ สิ่งนี้จะยิ่งเติมเต็มพัฒนาการทั้งทางสมอง ร่างกายและสังคม ได้อย่างเต็มที่ วันนี้ขอหยิบยกข้อดีของการพาลูกๆสุดที่รักของคุณออกสู่ธรรมชาติมาแบ่งปันกัน
ข้อดีของการพาลูกๆออกสู่ธรรมชาติ
- ช่วยฝึกให้คุณลูกได้มีโอกาสได้ลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องปล่อยให้คุณลูกได้หยิบจับ ทำสิ่งต่างๆโดยไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป มืออาจจะเปื้อนบ้าง อาจจะเลอะเทอะบ้าง คุณพ่อคุณแม่เปิดใจให้กว้าง วางใจในธรรมชาติซึ่งอาจจะไม่อันตรายเกินกว่าที่คิด ซึ่งหากคุณลูกได้มีโอกาสทำอะไรได้ด้วยตัวเอง เราเชื่อว่าเขาจะเกิดความภาคภูมิใจ และเมื่อเข้าโตขึ้นเขาจะสามารถรู้จักพึ่งพาตนเองได้ ไม่เป็นภาระแก่คนอื่น
- ช่วยฝึกให้คุณลูกรู้จักสังเกต ตั้งคำถาม และมองเห็นความเชื่อมโยง เมื่อพาคุณลูกไปเห็นธรรมชาติ ป่าไม้ สัตว์ป่า นก หรือแม้กระทั้งแมลงตัวเล็กๆ เขาจะพบว่าทุกชีวิตมีคุณค่าและสร้างประโยชน์แก่โลกใบนี้ คุณลูกจะมองเห็นความเชื่อมโยงที่สานสัมพันธ์กันในแง่ของระบบนิเวศ และตระหนักว่า ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่และให้ประโยชน์กับเรามากมาย เมื่อเติบโตขึ้นคุณลูกจะเห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น ฉะนั้นจะนำไปสู่การให้เกียรติและไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น
- ช่วยฝึกการแบ่งปัน รู้จักการให้ นอกจากการพาคุณลูกไปสัมพันธ์ธรรมชาติในแง่ความสวยงามแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังต่อยอดเรื่องของการแบ่งปันกลับสู่ธรรมชาติ เช่น การปลูกต้นไม้ หรือการทำบ้านนก ให้คุณลูกได้รู้จักการให้ ไม่ยึดโยงทุกอย่างงไว้แค่ตัวเอง สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในโลกยุคปัจจุบัน เมื่อเขาโตขึ้นเราคาดหวังว่าเขาจะนำสิ่งเหล่านี้ไปต่อยอดเพื่อสร้างเครือข่ายความดีให้แพร่กว้างออกไปได้
- ฝึกการอยู่ร่วมกัน เสริมทักษะสังคม การออกสู่ธรรมชาติเป็นหมู่คณะ คุณลูกๆจะได้มีโอกาสฝึกการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากๆในปัจจุบัน เด็กๆอาจต้องวางหน้าจอเพื่อมาพบเจอกับคนจริงๆ มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมจริงๆ เพราะเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาจะรู้ว่าเราควรจะทำตัวอย่างไรให้เข้ากับคนอื่นและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ เมื่อหนึ่งคนมีความสุขเขาจะสามารถส่งความสุขไปยังคนอื่นๆได้จนในที่สุดแล้วจะเกิดสังคมอุดมความสุขขึ้น
สำหรับพื้นที่ธรรมชาติที่จะพาคุณลูกไปนั้นอาจจะไม่ใช่เพียงผืนป่าแบบอุทยานหรือเขตอนุรักษ์ที่ต้องขับรถไปไกลๆเท่านั้น พื้นที่ธรรมชาติในบ้านหรือใกล้บ้านก็สามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้เด็กๆได้เข้าไปสัมผัสได้เช่นกัน แต่จะดีไหมหากมีสถานที่ที่ปลอดภัย เงียบสงบ โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ พร้อมกับกิจกรรมสร้างสรรค์ให้เด็กๆได้ลงมือทำไปพร้อมกับคุณพ่อคุณแม่อย่างสนุกสนานจนลืมหน้าจอมือถือไปเลย
ให้ธรรมชาติที่ศูนย์รวมตะวันเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปให้กับเด็กๆ กับกิจกรรมสร้างสรรค์ในแบบวางมือถือแล้วเปิดใจสัมผัสกับอ้อมกอดของธรรมชาติ เรียนรู้ผ่านการเล่นแบบอิสระ รวมถึงฝึกทักษะชีวิตให้ได้พึ่งพาตัวเอง สานสัมพันธ์สายใยครอบครัวให้เน้นเฟ้นมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
- https://aboutmom.co/features/nature-deficit-disorder/22982/
เขียนและเรียบเรียงโดย
ภาสกร ผุยพงษ์ เจ้าหน้าที่สื่อสารองค์กร