การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากภาวะโลกร้อน เป็นปัญหาที่เร่งด่วนและส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วโลก อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นกว่า 1.1°C ตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรม (IPCC, 2021) การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เช่น การตัดไม้ทำลายป่า เป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 417 PPM ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 2 ล้านปี (WMO, 2022) ส่งผลให้อุณหภูมิและลักษณะอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และภัยแล้ง เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบในปัจจุบันชัดเจนในหลายด้าน การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก เช่น ในอาร์กติก ลดลงกว่า 13% ต่อทศวรรษ (NSIDC, 2021) และระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.7 มิลลิเมตรต่อปี ตั้งแต่ปี 1993 (IOC, 2022) ผลกระทบนี้ส่งผลโดยตรงต่อระบบนิเวศชายฝั่งและประชากรในพื้นที่ลุ่มต่ำ นอกจากนี้ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 1,000 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าเขตร้อน การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและการลดลงของน้ำจืดในบางภูมิภาค ทำให้เกษตรกรต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของผลผลิต การเกิดภัยพิบัติ เช่น พายุและน้ำท่วม ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เช่น ในประเทศไทยที่ประสบภัยแล้งรุนแรงและน้ำท่วมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในอีก 10 ปีข้างหน้า คาดว่าอุณหภูมิอาจเพิ่มขึ้นถึง 1.5°C หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความเข้มข้นของ CO₂ อาจแตะ 450 PPM ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ (Tipping Point) เช่น การฟอกขาวของปะการังอย่างถาวรในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร เช่น Thermohaline Circulation อาจทำให้ฤดูกาลไม่ปกติ และเพิ่มความรุนแรงของพายุในหลายภูมิภาค (NOAA, 2022) ผลกระทบนี้ยังรวมถึงการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยและการเพิ่มขึ้นของโรคที่เกี่ยวข้องกับอากาศร้อน เช่น โรคลมแดด (Heat Stroke) และโรคที่แพร่กระจายโดยแมลง เช่น ไข้เลือดออกในเขตร้อน รวมถึงประเทศไทย (WHO, 2022)
ในด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนคาดว่าจะลด GDP โลกลงถึง 1–3% ต่อปี ภายในปี 2030 โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งพาการเกษตรและการท่องเที่ยว เช่น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเสียหายจากภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมและพายุ คาดว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล โดยอาจสูงถึง 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (World Bank, 2021)
แนวทางแก้ไขรวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลม (IRENA, 2021) การปลูกป่าเพื่อเพิ่มการดูดซับ CO₂ และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติธรรมชาติ (UNEP, 2022) ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงรัฐบาล องค์กรธุรกิจ และประชาชนทั่วไป มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมภาวะโลกร้อนเพื่อปกป้องโลกในระยะยาว.