หยุดโลกร้อนด้วยมือเรา ตอนที่ 2 : มาตรการในการจัดการภาวะโลกร้อน
มาตรการในการจัดการภาวะโลกร้อนจะมีหลักดังนี้
1.การป้องกัน
มาตรการต่อไปที่ต้องออกมา เพราะวิกฤติแล้ว คือ ระงับการขายน้ำมันดิบทั่วโลก คือ ไม่มีการขายระหว่าง international trading เพื่อลด output ที่จะได้ CO2 รวมถึงร้านอาหารจีนต้องปิดตัว จึงจะเอาให้อยู่ก่อนถึง 450 ppm. เพื่อ safe โลกมนุษย์ไว้ให้ได้ จะต้องออกมาตรการที่รุนแรงกว่าและเชื่อว่าในที่สุดต้องยอม ต้องทำ และเราจะต้องได้รับผลกระทบรุนแรงในขณะนั้น สรุปว่าตอนนี้เราป้องกันไม่ได้แล้ว เช่น ซึนามิ เราป้องกันไม่ได้โชคดีที่เราเคยเจอซึนามิมาครั้งหนึ่งทำให้มีบทเรียน และเรามีความเข้าใจมากขึ้น สิ่งที่เราทำได้ในมาตรการที่ 2 คือ การเตรียมรับ เรารู้ไหมว่าจะเตรียมรับอะไร เดี๋ยวจะทราบครับ ผลกระทบ 10 ประการของภาวะโลกร้อนมีอะไรบ้าง จะได้ทราบว่าจะเตรียมรับอะไรบ้าง
2. การเตรียมรับ
ก็คือในเมื่อเตรียมรับไม่ได้แล้ว เราไม่คิดจะหนีไปได้ จะอยู่อย่างนี้ต่อไปแน่นอนก็ต้องมีการปรับตัว เช่นดูทีวีน้อยลงขับรถให้ช้าลง หรือลงจากรถมาเดินมากขึ้นจะช่วยลดได้ การลดพลังงานตรงนี้คงไม่มีผลแต่เป็นการเตรียมความพร้อมของภาวะที่ไม่มีพลังงานให้เราใช้แบบแต่ก่อน
ทีนี้ปัญหา 3 อย่างที่เรากำลังเจออยู่ในขณะนี้ คือ เราจะ stop หรือ reverse มันยังไงภาวะโลกร้อนที่มีก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปชั้นบรรยากาศเยอะขนาดนี้ เราจะหยุดได้ยังไงเราจะหวนกลับไปวันดีๆ เมื่อปี 1970 ได้ไหม คำตอบคือไม่ แต่การจะหยุดได้ยังไงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเป็นเรื่องระหว่างประเทศซึ่งหาข้อยุติได้ยากมาก
3. การปรับตัว
เราจะอยู่กับมันได้ยังไง ในภาวะที่กำลังมีอุณหภูมิสูงขึ้น เราจะอยู่ได้ไหม จะมีซักกี่คนต้องไปแล้วจะไปยังไงอันสุดท้ายคือ เราจะมีวิถีชีวิตยังไง อันนี้คือการปรับตัวให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อนที่เราต้องอยู่ไปอีกนานออกจากบ้านยังไง โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ออกจากบ้านยังไง โดยที่กลางวันไม่ต้องเปิดไฟแสงสว่างแต่เราอยู่ได้ ให้แสงสว่างธรรมชาติเข้ามาทางหลังคา ให้เข้าทางชายคายังไงได้มากโดยที่ไม่นำความร้อนเข้ามา จะใส่เสื้อผ้ายังไงที่ไม่ต้องปรับอากาศจะขับรถยังไงหรือจะขี่จักรยานยังไง รถยนต์ที่วิ่งได้ 10 กิโลเมตร/ลิตร ปัจจุบันนี้ล้าสมัยแล้ว ออกมาใหม่ล่าสุดแล้วตอนนี้ 100 กิโลเมตร/ลิตร แต่หาใช้ในเมืองไทยไม่ได้ 60 กิโลเมตร/ลิตร ก็ขายอยู่ในกรุงเทพฯ เยอะแยะไปขึ้นอยู่กับว่าถ้าอยากได้จริงๆ ต้องจองล่วงหน้า 4 เดือนนะครับ
แก๊สเรือนกระจกที่สำคัญมีอะไรบ้าง ?
คราวนี้แก๊สที่สำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกก็คือ แก๊สที่ 1 คาร์บอนไดออกไซด์ ตัวนี้มีเยอะมากทุกกิจกรรมของการผลิตและการบริโภคนั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศมากๆ ชนิดที่ 2 คือ แก๊สมีเทน มีเทนเกิดจากการมีของเสียออกมา ในปศุสัตว์มีแหล่งที่เพาะมีเทนที่ใหญ่มากๆ จริงๆ
แล้วก็ในชีวิตประจำวันแม่บ้านเป็นแหล่งที่ปล่อยแก๊สมีเทน เพราะว่าเอาอาหารใส่ถุงพลาสติกแล้วมัดปากถุงแล้วโยนทิ้งไป การที่โยนทิ้งไปเราสร้างเงื่อนไขให้เศษอาหารที่อยู่ถึงพลาสติกนั้นมีการแปรสภาพโดยที่ไม่มีออกซิเจน ตรงนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดมีเทนเยอะมาก นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำไมเรารณรงค์ให้ใช้ถุงผ้า เพราะไม่อยากให้แม่บ้านเอาถุงพลาสติกเข้าบ้านอีกแล้ว
แต่ยังมีถุงพลาสติกจำนวนหนึ่งใช้เพื่อบรรจุเศษอาหาร เปลือกสับปะรด เปลือกมะละกอ ผูกถุงแล้วโยนทิ้งไป ทำไมต้องผูกถุงก่อนก็เพราะกลัวกลิ่นเหม็นมันจะออกมาก็ผูก ก็จะเป็นแหล่งแก๊สมีเทน แก๊สชีวภาพชนิดหนึ่ง แก๊สชีวภาพเมื่อขึ้นไปชั้นบรรยากาศมีศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 21 เท่า ถึงแม้ตัวมันเองจะมีอายุแค่ 14 ปี ในชั้นบรรยากาศ แต่ว่ามันทำให้เกิดภาวะโลกร้อน 14 เท่าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะมันดูดซับความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 14 เท่า แก๊สที่ 3 คือ ไนตรัส ออกไซด์ ซึ่งมาจากปศุสัตว์อีกเช่นเดียวกัน แล้วก็มาจากภาคเกษตรที่ใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยไนเตรตจะมีเยอะ คือส่วนที่ไม่ได้ใช้ถูกดูดซับไปเลี้ยงลำต้นหรือไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ก็กลายเป็นไนตรัสออกไซด์ เกิดขึ้นหน้าบริเวณเซเว่น อีเลฟเว่น ในขณะที่ไปจอดรถหน้าร้านแล้วไม่ดับเครื่อง ปล่อยให้ใครขึ้นไปคว้าของบนรถหิ้วแล้ววิ่งลงมา ตรงนั้นเนี่ยแก๊สรถยนต์ที่ติดตั้งแก๊สที่ไม่ได้ติด Controller จะปล่อยแก๊สไนตรัสออกไซด์ออกมา และไนตรัสออกไซด์ตัวนี้ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก มีศักยภาพมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 304 เท่า ฉะนั้นรถที่จอดอยู่หน้าเซเว่นเนี่ยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่ารถที่วิ่งผ่านไปเสียอีก และเกิดขึ้นในบริเวณปั๊มน้ำมันตรงที่เติมน้ำมัน ไม่ได้ดับเครื่องยนต์ ไม่ยอมดับเครื่องยนต์ ผู้ชายก็จะดู CD ผู้หญิงก็จะเปิดกระเป๋าสตางค์เช็คของเช็คอะไรแต่ไม่ยอมดับเครื่องยนต์
เราจอดรถเติมน้ำมันประมาณ 10 นาที เสียค่าเติมน้ำมันไป 1,500 บาท แต่รถยนต์ที่ติดเครื่องอยู่กับที่โดยล้อไม่หมุน 5 นาที จะดูดน้ำมันจากถังน้ำมันมา 100 cc. 10 นาที 200 cc. น้ำมันลิตรละ 30 บาท ระหว่างที่จอดรถเติมน้ำมันเราเปลืองไปแล้ว 10 บาท ค่าจอดรถเติมน้ำมันไม่รวมค่าน้ำมัน 1,500 บาท เราเสียหลายต่อมาก เป็นเพราะว่าไม่อยากดับเครื่อง
อย่าไปกลัวว่าการสตาร์ทรถใหม่จะเปลืองไม่มีการเปลืองตราบใดที่เครื่องมันร้อนแล้ว ไม่เปลืองแล้ว สตาร์ทใหม่ก็อัตราปกตินั่นเอง อย่าไปกลัว เพราะฉะนั้นตรงนี้พอไปปั๊มน้ำมันต้องดับเครื่องยนต์ นอกจากจะประหยัดน้ำมันแล้ว ยังช่วยลดไนตรัสออกไซด์ด้วย ตัวที่ 4 คือ น้ำ ซึ่งตัวนี้มีเยอะมากในชั้นบรรยากาศ น้ำกลายเป็นตัวดูดซับความร้อนที่อันตรายมากเพราะว่ามันเพิ่มปริมาณมากขึ้นนั้นเอง รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านเข้ามา ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามา ผ่านเข้ามาหลังคาตึกทำให้วัสดุเหล่านี้ร้อนมาก มันก็จะพยายามแผ่รังสีความร้อนออกมา การแผ่รังสีความร้อนออกมาเป็นอินฟราเรด มันทะลุทะลวงชั้นบรรยากาศได้ดีมากทีเดียว เอาความร้อนเข้ามาด้วย อาคารเราก็จะร้อนมาก การสะสมความร้อนก็จะมีการแผ่รังสีความร้อนออกมา ขาออกมาเป็นอินฟราเรด อินฟราเรดไม่ได้ทะลุชั้นบรรยากาศ พอขึ้นไป 8 กิโลเมตร เจอไอน้ำในชั้นบรรยากาศมันก็ดูดซับความร้อนนี้เอาไว้ สังเกตดูว่าก่อนฝนจะตกจะรู้สึกอ้าว เพราะความร้อนในชั้นบรรยากาศนี้เยอะมาก น้ำดูดความร้อนได้ระดับหนึ่งก็ปล่อยกลับออกมาใหม่ ขณะที่หลังคาบ้านเราก็กลับขึ้นไปอีก เพราะชั้นบรรยากาศที่สูงถึง 8 กิโลเมตร จะร้อนมาก พอร้อนมากเป็นไงครับ ความชื้นที่พื้นดิน 15 ซม. เป็นความชื้นที่มีค่าทางเศรษฐกิจต่อการผลิตทางการเกษตรมันก็หนีออกจากพื้นดินไป เพราะความร้อนตัวใหม่เกิดขึ้นจากการเก็บความร้อนนี้ ความชื้นที่หนีขึ้นไป 15 ซม. ตรงนี้ เป็นความชื้นที่เพิ่มมากขึ้น คือคำอธิบายว่าทำไมฝนตกหนักมากขึ้น คราวนี้น้ำปริมาณเป็น 100 ตันที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเรา พอตกทีจะตกเป็นแท่งลงมานึกถึงเวลาไปตลาดนัดจตุจักรแล้วเค้ามีหลังคายื่นออกมามีน้ำฝนขังอยู่ข้างบน พอมีอะไรจิ้มปุ๊บจะรั่วลงมารูหนึ่ง นี่คือปรากฏการณ์ที่ทำไมประเทศไทยถึงเคยเจอฝนตก 500 มิลลิเมตรต่อ 10 ชั่วโมง ที่สตูลแต่ก่อนแค่ 360 มิลลิเมตร ฝนตกคืนเดียวเท่ากับฝนตก 10 เดือน แต่เมื่อ 2 วันนี้เจอที่ลับแล ฝนตก 10 ชั่วโมง 550 มิลลิเมตรครับ มันได้เกิด excite เกิดความรู้สึกรอบๆ นั้น อย่าไปโทษว่าเค้าทำลายป่า ไม่เกี่ยวกับทำลายป่า เพราะฝนตกขนาดนี้ภูเขาที่ไหนก็เอาไม่อยู่ นี่คือคำอธิบายว่าทำไมฝนถึงตกหนักเฉพาะที่ แก๊สตัวต่อไป คือ แก๊สโอโซน เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม แก๊สตัวนี้อยู่ในชั้นบรรยากาศ ไม่ถึง 8 กิโลเมตร จะเป็นแก๊สอยู่แต่พอลอยขึ้นไปถึง 45 กิโลเมตร จากพื้นดินจะเป็นแก๊สที่ป้องกัน UV ไม่ให้ทำให้ใบหน้าเราดำ อีกตัวหนึ่งก็คือ Sulfur hexafluoride ตัวนี้จะเจอมากในแผง breaker ในโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนมากโรงงานอิเล็กทรอนิกส์จะใช้เยอะมาก รวมทั้งในหม้อแปลงด้วย หม้อแปลงที่อยู่ใกล้ๆ บ้านเราจะมี Sulfur hexafluoride ซึ่งเป็น carcinogen ด้วย และอยู่ใกล้กับเรามาก ตัวนี้มีอานุภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 22,000 เท่า ตัวอื่นที่สำคัญอีกตัวหนึ่งก็คือ CFC ซึ่งเราทุกคนมีโอกาสปล่อย CFC ในขณะที่มีการใช้สเปรย์ด้วยสุภาพสตรีกับการปิดตู้เย็นโดยที่ไม่ได้ใช้มือปิด ดังนั้นกลับไปถนอมตู้เย็น เช่น การหยิบของจากตู้เย็นออกมาเต็มมือ พอถามว่าปิดตู้เย็นยังไง บอก เออน่ะ ปิดแล้วก็แล้วกัน ใช้บั้นท้าย หัวไหล่ ลูกแปปิด แรงกระแทกที่ไม่เท่ากันนี้ทำให้รอยต่อรอยเชื่อมของท่อน้ำยาแอร์มันจะแตก แล้วก็ร้าว และ CFC นี้ก็จะอยู่ในรถยนต์ อยู่ในคอมเพรสเซอร์ที่อยู่ในกระโปรงรถข้างหน้า เวลาล้อเรากระโดดข้ามลูกระนาดโดยไม่ได้ชะลอความเร็วจะเกิดการยกตัวที่ไม่เท่ากันระหว่างช่วงหน้ากับห้องผู้โดยสาร ซึ่งมีการเชื่อมต่อกันด้วยท่อทองแดงขนาด 2 มิลลิเมตร 2 ท่อเอง ท่อเอาน้ำยาแอร์เข้ามากับท่อเอาน้ำยาแอร์กลับไปที่คอมเพรสเซอร์ตรงปลายท่อบัดกรีไว้ พอยกตัวไม่เท่ากันรอยแตก ก็เกิดขึ้น พอเปิดแอร์ติดเครื่องแล้วไม่เย็นก็วิ่งไปเติมน้ำยาแอร์ 450 บาท เราไม่เคยอุดรูรั่วเลย
เรามีรถที่เติมน้ำยาแอร์โดยที่ไม่อุดรูรั่ว ประมาณ 3-6 ล้านคันในประเทศไทย รถยนต์พวกนี้เป็นแหล่งปล่อย CFC เคลื่อนที่เพราะว่าเติมแต่น้ำยาแอร์ รูรั่วไม่เคยอุด ที่ถูกแล้วต้องทิ้งรถไว้ 1 วัน ให้อู่ที่เติมน้ำยาแอร์ใช้ไฟไล่ดูว่ามี CFC รั่วมาทางไหนบ้าง เพราะที่รูรั่วจะมีเปลวไฟน้ำเงินพุ่งออกมาเลย
ตรงนั้นเนี่ยต้องบัดกรี ต้องอ็อก ต้องเชื่อม ต้องตัดออกไปซะก่อน แล้วเติมน้ำยาแอร์เข้าไปใหม่แล้วจึงปล่อยรถออกไปได้ ก็ประมาณพันกว่าบาท แต่ส่วนใหญ่เราเสียแค่ 450 บาทแล้วก็ไป แค่นี้ก็หมดเรื่อง เพราะฉะนั้นขับรถผ่านลูกระนาดต้องช้าลง ขับรถข้ามสะพานในขณะที่คอสะพานมันทรุดต้องช้าลง เพราะแรงกระแทกดังกล่าว จะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซ CFC ขึ้นชั้นบรรยากาศขับรถขณะที่โทรศัพท์ต้องระวังไปชนท้ายคนอื่น เป็นเหตุให้คุณตำรวจต้องมาพ่นสเปรย์สีขาวๆ ปล่อย CFC ขึ้นไปอีก ก็มีเหตุหลายอย่างที่ปล่อย CFC ขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศเราทำทุกค่ำเช้า อันนี้คือชั้นบรรยากาศที่เรากล่าวถึงเมื่อกี้ หมายเลข 1 คือรังสีความร้อนที่เข้ามาเป็น UV พอผ่านทะลุชั้นบรรยากาศเข้ามาได้ บางส่วนก็สะท้อนออกไป ในกรณีที่มีเมฆมีชั้นบรรยากาศสะท้อนกลับไป 30% 70% ทะลุเข้ามาทำให้พื้นดินร้อนขึ้น ทำให้บ้านเราร้อนขึ้น และสะท้อนความร้อนกลับขึ้นมาใหม่ ส่วนหนึ่งก็ไม่เกิน 15% ที่จะหลุดออกจากชั้นบรรยากาศนี้ได้ เพราะว่า 85% จะถูกดูดซับไว้ด้วยก๊าซเรือนกระจกที่กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ แล้วก็คายความร้อนกลับมาใหม่ที่ผิวโลก เป็นหมายเลข 5 ความร้อนที่กลับมาใหม่นี้เป็นตัวการทำให้เกิด evaporation ขึ้นมา ความชื้นที่อยู่ที่ผิวดิน 15 เซนติเมตร ที่เป็นความชั้นที่มีค่าทางเศรษฐกิจมาก ขึ้นไปรออยู่ข้างบนเป็นต้นเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน
มีวีดีทัศน์ส่วนสั้นๆ ของสหประชาชาติ มีหลายอัน เราเสียใจว่าสื่อมวลชนบ้านเราไม่เอามาออกเลยขณะที่เป็นสื่อที่ฟรีที่ทำเผยแพร่ไปทั่วโลก แต่บ้านเราไม่สนใจ อีกอันที่กำลังกังวลอยู่ในขณะนี้คือ sea ice อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ sea ice ที่ขั้วโลกเหนือมันหดตัวลงทุกปี ในปี 2007 ที่ผ่านมา หดตัวเหลือจนน่าวิตก ในปี 2005 มันหดมากที่สุดอยู่แล้ว ในปี 2007 มันหดตัวมากกว่านั้นอีก เหลือน้อยกว่าปี 2005 อีก 23% ส่วนที่หายไปเพิ่มขึ้นนี้มีขนาดเท่าประเทศอังกฤษ 4 เท่า และส่วนที่หายไปนั้น sea ice ที่หายไปเค้าเชื่อว่าในที่สุดแล้วน้ำแข็งตรงนี้จะหมดไป ละลายหมดไปภายใน 5-7 ปีข้างหน้า sea ice ก้อนนี้ที่เราเพิ่งเอาธงชาติไปปักเมื่อ 2 วันนี้ ถ้าละลายหมดจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือจะทำให้กระแสน้ำอุ่นที่ไหลเวียนจากประเทศต่างๆ ที่มาจากแปซิฟิกเอาความร้อนไป กระแสน้ำอุ่นก็ไปคายความร้อนที่ขั้วโลกเหนือแล้วตัวเองก็จมดิ่งลงไป 6 กิโลเมตร เอาความเค็มและความเย็นกลับมาที่มหาสมุทรแปซิฟิกใหม่ ตรงนี้เป็น circulation ของ heat เป็น heat engine ที่ทำงานมาเป็นหมื่นๆ ปี แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็เจอปัญหาว่ามัน slow down มา 30% ถ้าน้ำแข็งขั้วโลกหายไปหมด เชื่อว่าตรงนี้จะหยุด ถ้าหยุดจะทำให้เกิดการแปรปรวนของอากาศ ภูมิอากาศ ฤดูกาลจะแปรเปลี่ยน ดูได้จากภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow หน้าหนาวจะหนาวเย็นปกคลุมอย่างรวดเร็ว เพราะทุกวันนี้อังกฤษไม่หนาว มีหิมะตกเป็นก้อนเป็นเพราะกระแสน้ำอุ่นนี้ ถ้าไม่มีกระแสน้ำอุ่นจากแปซิฟิกเข้ามา ความหนาวเย็นจะปกคลุมประมาณ 6 สัปดาห์ ความเย็นที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้หนาวเย็นมากที่สุด ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์อันนั้นเป็นตัวที่จำลอง มีการประชุมที่เยอรมัน นักวิทยาศาสตร์มาคุยเพื่อ producer ผลิตภาพยนตร์ออกมาแล้วขายดีเพราะมีเครดิตดี ผู้ร้ายคืออากาศ เปรียบเทียบกับ AIT Anti Inconvenience Truth วันนั้นที่เข้าไปดูมีคนดู 24 คน ทั้งโรงหนัง เป็นฝรั่ง 21 คน อีก 3 คน เป็นภรรยาฝรั่งที่ดูอยู่ แล้วผมเป็นคนที่ 25 คนไทยไม่ดูเพราะไม่มีพระเอก นางเอกเลย ในเรื่อง The Day After Tomorrow คาดการณ์ออกมาว่าพายุหิมะและก้อนน้ำแข็งจะตกในเดลี น้ำทะเลจะไหลเข้ามาในนิวยอร์กอย่างรวดเร็ว เกิดพายุหมุน เป็นการสร้างภาพจำลองที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงในอนาคต
ที่นี้ปรากฏการณ์ภัยพิบัติทั่วโลกในขณะนี้มีการเฝ้าระวังตอนนี้กำลังเกิดขึ้น ในปี 1992-1998 มีพิบัติภัยในเรื่องของหิมะถล่ม ดินถล่ม ฝนตกหนัก น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า มันเกิดขึ้น เฉลี่ยแล้วปีละ 400 ครั้ง ปี 1999-2003 พิบัติภัยต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 700 ครั้ง บางครั้งหิมะถล่มกับภัยแล้งห่างกันไม่ถึง 400 ไมล์ ในวันเดียวกัน ฉะนั้นในภาวะที่เรียกว่า weather extreme มันเกิดขึ้นแล้วในขณะนี้และในวันเดียวกันและมีความถี่มากขึ้น หลังจากนั้นตั้งแต่ปี 2003-2004 เป็นต้นมา ยังไม่มีใครสรุป IPCC กับอัลกอร์ ออกมาพูดกันมากในระยะนี้ ตามที่นักวิจัยได้ติดตามค้นคว้าออกมาพบว่าที่ IPCC และอัลกอร์พูดกันมาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของข้อเท็จจริงทั้งหมด ก็คือเสียเวลาไปกับเรื่องอัลกอร์มากทีเดียวในหนังที่มาฉายนั้น 40% เป็นการโกหกตัวเองในสมัยที่อยู่ไสยาสูบที่เราเติบโตขึ้นมา เพื่อจะนำเค้าไปสู่การเลือกตั้งสมัยหน้า 60% พูดถึงเนื้อหา นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาให้ความเห็นว่า too little, too late นะครับ
แล้วก็บอกว่าเรื่องของภาวะโลกร้อนเราหยุดมันไม่ได้ แต่ที่อาจจะทำได้คือ limit มัน คือ limit ตัวมันเองแล้วก็เพื่อเพิ่ม capacity ของตัวเองให้สามารถยืนกับภาวะ weather extreme ให้ได้
นี่คือภาพล่าสุดปี 2007 ซึ่งน้ำท่วม 3-4 วัน ในเยอรมัน เป็นภาพที่ปรากฏในสื่อทั่วโลกถ้าเราแต่ละคนออกมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้ทำเราก็ได้เสียอะไร ได้มากกว่าด้วยอย่างน้อยในภาพรวมก็น่าจะได้ ดังนั้นแก๊สเรือนกระจกที่สำคัญที่สุด ก็คือที่เราพูดไปเมื่อกี้ 380 ppm ดีกว่า 384 ไหม จากปล่อย 2-3 นั้นเป็นข้อมูลเมื่ออดีตตอนนี้ 2-6 แล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือระยะเวลาอันสั้น ถ้าถามรัฐบาลอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษบอกว่า ถ้าคิดว่าภาวะโลกร้อนจะเกิดขึ้นในกี่ปี เค้าตอบว่า 7 ปี ถ้าถามยุโรปบอก 10 ปี ถ้าถามคนอเมริกันบอก 100 ปี อยู่ที่ความเชื่อมีการซ้อมอพยพคนที่ลอนดอนเช่นใน 3 ชั่วโมง อพยพได้กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อ 11 มกราคม 51 มีความแปรปรวนของอากาศ มีหิมะตกในอิรัก
ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน มีการพยากรณ์ว่าหิมะจะตกที่ภาคอีสาน มีความเป็นไปได้เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายหมด ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นภายในปีนี้แน่นอน
ถอดจากการบรรยายของ ดร.ธนวันต์ (จิรพล) สินธุนาวา
นายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม